จวบจนกระทั่งวันนี้ การบินไทย บริษัทสายการบินที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสายการบินแห่งชาติของไทย ก็ยังคงเดินไปอย่างสะเปะสะปะ แม้วันนี้การบินไทยจะมีคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่แล้วก็ตาม แต่ความสับสนอลหม่านก็ยังไม่หมดไม่สิ้นไป แม้คณะกรรมการจะพยายามหาทางออกให้กับการบินไทยโดยการจัดทำแผนฟื้นฟูบริษัทเพื่อเสนอให้ศาลล้มละลายกลางนำไปพิจารณาต่อไป
คนที่ตามข่าวการบินไทยอย่างใกล้ชิดคงทราบดีว่าทุกวันพุธ จะมีการประชุมของคณะกรรมการการบินไทย แต่ก็มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้นในที่ประชุมคณะกรรมการเป็นระยะๆ เพราะว่ามีกรรมการบางคนที่มักจะแสดง “ความเฉิ่ม” ออกมาให้ผู้ร่วมประชุมเกิดอาการสังเวช ยกตัวอย่างเรื่องที่ทำให้เกิดความสังเวชคือ กรรมการรายหนึ่งเสนอให้มีชั้นธุรกิจในเที่ยวบินภายในประเทศ เมื่อมีผู้เสนอเรื่องเฉิ่มเช่นนี้ขึ้นมา ก็ทำให้ที่ประชุมเกิดอาการกระอักกระอ่วนโดยพลัน แต่ที่ประชุมนี้ก็น่ารักเพราะแม้จะมีคนเสนอเรื่องประหลาดสุดๆ แต่ที่ประชุมก็ยังสามารถเก็บอาการไว้ได้ คงเป็นเพราะไม่อยากฉีกหน้ากันให้หมางใจ หรือมิฉะนั้นก็คงถือคติ ปล่อยให้พูดพล่ามไปตามสไตล์ผีเจาะปาก ยิ่งพูดยิ่งแสดงความไร้สาระ ก็ปล่อยให้พูดไป
แต่ทว่า มีการตั้งคำถามกันเองระหว่างคนที่รู้เรื่องรู้ราวว่า หากปล่อยให้มีกรรมการพรรค์อย่างนี้ต่อไป เห็นทีว่าการประชุมจะเสียเวลาเปล่า แล้วเรื่องที่จะจัดทำแผนฟื้นฟูบริษัทก็มีหวังล้มเหลวและเละเทะอย่างแน่นอน
พูดถึงเรื่องความเละเทะเลอะเทอะของบอร์ดการบินไทยบางรายแล้ว ก็ต้องพูดถึงเรื่องความเละเทะเลอะเทอะของผู้บริหารการบินไทยรายหนึ่งด้วย คนการบินไทยจำนวนไม่น้อยเอือมระอากับความไม่รู้ประสาของผู้บริหารรายนี้มากเสียจนมีการนำชื่อของผู้บริหารรายนี้ไปติดไว้ในลิฟต์ของบริษัทแล้วเขียนไว้ว่า ลาออกไป
ความไม่รู้ประสาของผู้บริหารรายที่ว่านั้นทำให้พนักงานการบินไทยสับสนงุนงงอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการออกคำสั่งให้พนักงานทุกคนต้องกลับเข้าไปทำงานในสำนักงานของการบินไทย คนการบินไทยบอกว่า การออกคำสั่งให้กลับเข้าไปทำงานเป็นคำสั่งที่ดูเหมือนฉลาด แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ในเมื่อบริษัทยังไม่สามารถดำเนินกิจการได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนในช่วงปกติ และเหตุใดจึงออกคำสั่งที่ดูเสมือนไร้สติปัญญาเช่นนี้ หรือคนออกคำสั่งลืมไปว่าขณะนี้การบินไทยยังไม่สามารถให้บริการได้ดังเดิม เช่น ยังไม่มีการเปิดให้บริการเที่ยวบินต่างๆ แล้วจะให้ฝ่ายที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการบินกลับเข้าไปทำอะไรมิทราบ
ด้วยความไร้สติของผู้ออกคำสั่งให้พนักงานทุกคนต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงาน และตามสถานที่ต่างๆ ทั้งๆ ที่บริษัทยังไม่สามารถเปิดทำงานได้ตามปกติ ก็จึงนำไปสู่การออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมโดย ชาญศิลป์ ตรีนุชกร กรรมการบริษัทรักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563
คนการบินไทยหลายคนเล่าให้ฟังว่า หลายเดือนที่ผ่านมา แม่บ้าน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของการบินไทยจำนวนหนึ่งไม่ได้รับการว่าจ้าง ดังนั้นในสำนักงานการบินไทยจึงไม่มีแม่บ้าน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูแล ทำให้พนักงานของบริษัทบางคนต้องทำหน้าที่ดูแลความสะอาดของห้องทำงานและห้องน้ำห้องส้วมเอง ซึ่งก็ดูแล้วน่ารักดี เพราะผู้บริหารการบินไทยคงต้องการให้พนักงานของบริษัทการบินไทยสามารถทำความสะอาดสำนักงาน และทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วมได้ด้วย และหากทำได้เช่นนี้ทุกคนแล้ว การบินไทยคงไม่ต้องจ้างแม่บ้านและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกต่อไป ซึ่งคงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้บริษัทได้พอสมควร แล้วบริษัทจะได้มีเงินเหลือไปเพื่อจ่ายค่าน้ำมันรถยนต์ให้กับฝ่ายบริหารของบริษัทได้ เพราะมีข่าวว่าผู้บริหารบริษัทบางรายเบิกค่าน้ำมันรถยนต์เดือนละ 75,000 บาท
ในขณะที่บริษัทมีแผนว่าจำเป็นต้องปลด และต้องลดพนักงานลง แต่กลับพบว่าผู้บริหารการบินไทยไม่ยอมลดเงินเดือนตัวเองลง โดยเฉพาะผู้บริหารที่อ้างว่าตนเองไม่ใช่พนักงานของบริษัท แต่มาจากสัญญาจ้าง ทั้งๆ ที่ก่อนจะได้รับสัญญาจ้าง ผู้บริหารรายที่ว่านั้นก็มาจากพนักงานบริษัท แต่เมื่อได้สัญญาจ้างก็เปลี่ยนสถานะจากพนักงานบริษัทแล้วไปกินเงินเดือนเกือบ 7 แสนบาทโดยฉับพลัน โดยยังไม่รับรวมเงินเดือนที่ได้จากการทำหน้าที่รักษาการในบริษัทอีกหลายตำแหน่ง โดยได้ค่าตอบแทนตำแหน่งละ 2 แสนบาท รวมๆ แล้วเดือนๆ หนึ่งผู้บริหารการบินไทยรายที่ว่านี้รับเงินเดือนหนึ่งเฉียดๆ หนึ่งล้านบาท ในขณะที่พนักงานที่เป็นลูกจ้างภายนอก หรือ outsource ถูกเลิกจ้าง แต่ปรากฏว่าผู้บริหารที่ไม่ต้องทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน ยกเว้นการคิดโครงการอบรมแบบเล่นขายของเพื่อฆ่าเวลาไปวันๆ กลับได้รับเงินเดือนก้อนมหึมาทุกเดือน แม้บริษัทใกล้จะล้มละลายก็ตาม
ยังมีประเด็น (ที่เข้าข่ายเน่าๆ) ซึ่งมีความน่ากังขาในการบินไทยอีกเรื่องหนึ่งที่คนภายนอกอาจจะไม่ค่อยทราบคือเรื่อง คณะกรรมการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บริษัท การบินไทย ในเรื่องนี้มีการตั้งข้อสังเกตจากคนในการบินไทยว่า เหตุใดจึงมีความเร่งรีบจัดการเลือกตั้งคณะกรรมการฝ่ายลูกจ้างแบบลุกลี้ลุกลนจนหลายคนตั้งคำถามว่านี่คือการปล้นเงียบหรือเปล่า มีคำถามอีกว่าจะต้องรีบเลือกตั้งไปเพื่ออะไร ในเมื่อไม่มีคู่แข่งเลยแม้แต่น้อย แต่คนการบินไทยรู้ดีว่าเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้มีจำนวนมหาศาลดังนั้นหากใครก็ตามที่สามารถมีอิทธิพลเหนือกองทุนนี้ได้ ก็เท่ากับได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่งดงามไปโดยปริยาย
เท่าที่มีข้อมูลเชิงลึกจากคนในการบินไทย พบว่ามีบริษัทหลักทรัพย์สามแห่งเข้ามาดูแลเงินกองทุนก้อนมหึมานี้ แล้วก็มีข่าวบอกว่าบริษัทหลักทรัพย์ที่ว่านั้นให้เงินที่หลายคนเรียกว่า kick back ปีละเป็นหลักล้าน เพื่อให้กรรมการกองทุนนำไปทำกิจกรรมต่างๆ แต่สมาชิกกองทุนถามกลับว่า กรรมการทำอะไรให้สมาชิกเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง เพราะเท่าที่ได้ยินคือมีข้ออ้างตลอดว่าทำเพื่อสมาชิก แต่สมาชิกก็ยังสงสัยว่าสมาชิกได้ผลประโยชน์อะไร แต่ที่น่าสงสัยกว่าคือแล้วกรรมการกองทุนได้ผลประโยชน์อะไรหรือไม่ อย่าลืมว่า แค่นำเงินไปฝากธนาคารเป็นหลักล้านยังได้ของตอบแทนจากธนาคาร แล้วเงินของกองทุนมีมูลค่ามหาศาล เพราะฉะนั้นก็จึงมีคำถามว่ากรรมการได้สิ่งตอบแทนอะไรบ้างหรือไม่ แล้วยังมีคำถามที่น่าสนใจจากคนการบินไทยแล้ว แล้วประธานกองทุน ได้สิ่งตอบแทนอะไรบ้างหรือไม่ เรื่องแบบนี้คนภายนอกการบินไทยคงไม่รู้มาก่อน แต่คนการบินไทยจำนวนไม่น้อยบอกว่า นี่คือคำถามคาใจที่คนการบินไทยถามกันมาโดยตลอด อย่าลืมว่าประธานกองทุน กับประธานสโมสรการบินไทย คือคนคนเดียวกัน เพราะฉะนั้นต้องตอบคำถามนี้ได้ลึกซึ้งถึงแก่นอย่างแน่นอน
ที่ผ่านๆ มานั้นมีการจัดกิจกรรมสารพัดสารพันอยู่ตลอดเวลา ทั้งกิจกรรมของสโมสรการบินไทย และกิจกรรมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การจัดกิจกรรมทุกครั้งมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในต่างจังหวัด ซึ่งมีการใช้เงินสำหรับค่าที่พักค่าโรงแรม ค่าอาหาร ค่าบันเทิงเริงรมย์ และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของคนบางคน เรื่องเหล่านี้ต้องขออนุมัติจากคนคน หนึ่ง ซึ่งคนคน นั้นก็คือคนที่คนการบินไทยรู้จักดี แต่คำถามคือ การใช้เงินทุกครั้งโปร่งใสมากน้อยเพียงใด เงินถูกใช้อย่างขาวสะอาด หรือถูกดึงเข้าพกเข้าห่อของใครบางคนหรือไม่ ตัวอย่างคำถามที่คนการบินไทยถามกันตลอดเวลาคือ การอนุมัติให้จัดตลาดนัดแล้วนำพื้นที่ไปขายให้เอกชน เรื่องนี้ขาวสะอาดหรือดำมืดอย่างไร ใครตอบได้ชัดเจนบ้าง
มีข้อมูลด้วยว่า พนักงานที่ทำงานให้กับกองทุน ซึ่งทำหน้าที่ในสำนักงาน ซึ่งเป็นลูกจ้างที่จ้างมาจากภายนอก(outsource) ปรากฏว่าพนักงานดังกล่าวถูกเลิกจ้างทั้งหมด แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าอาจจำเป็นต้องเลิกจ้างคนกลุ่มนี้ แต่มีคำถามตามมาคือ แล้วเหตุใดจึงมีการว่าจ้างพนักงานใหม่เข้ามาทำงานแทนพนักงานเก่าที่ทำงานมานานหลายปี แล้วพนักงานใหม่ที่เข้ามาทำงานแทนมีสายสัมพันธ์กับคณะกรรมการกองทุนบางคนหรือไม่ นี่ก็เป็นคำถามที่ถามกันมากในการบินไทย เรื่องเหล่านี้บอร์ดการบินไทยจะเคยรู้บ้างไหมหนอ
อันที่จริงยังมีประเด็นค้างคาใจอีกหลายข้อ แต่สำหรับวันนี้มีประเด็นสุดท้ายที่คนการบินไทยตั้งคำถามคือ คณะกรรมการกองทุน ซึ่งมาจากฝ่ายลูกจ้าง มีอยู่รายหนึ่งมีชื่อเป็นฝรั่ง แต่คนการบินไทยก็ตั้งคำถามอีกว่า คนที่มีชื่อเป็นฝรั่งรายนี้ทำงานให้กับใครในการบินไทยเป็นพิเศษหรือเปล่า แล้วในยุคหนึ่งที่ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็น DD การบินไทย เคยลงนามให้คนที่มีชื่อฝรั่งรายนี้พ้นสภาพการเป็นพนักงานการบินไทยไปแล้ว แต่คนดังกล่าวก็กลับเข้ามาในการบินไทยได้อีกในยุคที่ประธานบอร์ดการบินไทยมีชื่อว่า อำพน กิตติอำพน
สรุปแล้ว การบินไทยมีเรื่องราวให้ขุด ให้คุ้ย ให้ค้นอีกมาก แล้วแต่ละเรื่องก็ล้วนลึกลับซับซ้อนจนหลายเรื่องจับต้นชนปลายไม่เจอ นี่แหละคือเรื่องราวที่ชวนพิศวงของการบินไทย สายการบินแห่งชาติที่พบกับความล้มสลายไปแล้ว ก็ต้องติดตามเฝ้าดูต่อไปว่าจะมีปาฏิหาริย์ใดที่สามารถชุบชีวิตการบินไทยให้ฟื้นคืนมาได้หรือไม่ แต่หากการบินไทยฟื้นได้จริง แต่ยังไม่สามารถขุดรากถอนโคนเรื่องเน่าๆ ในการบินไทยให้หมดไปได้ การบินไทยก็คงจะหนีไม่พ้นวังวนเดิมๆ
"ถ้า" - Google News
July 04, 2020 at 12:00PM
https://ift.tt/3f1o2WC
คอลัมน์การเมือง - การบินไทย จะไปรอดไหมหนอ ถ้าขุดรากถอนโคนเรื่องเน่าๆ ไม่หมด - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"ถ้า" - Google News
https://ift.tt/2BjqBEF
Home To Blog
No comments:
Post a Comment